MT5 Gold Hunter

เข้าออเดอร์ที่ M5

MT5 Gold Hunter เป็นระบบเทรดที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานบนแพลตฟอร์มของ MT5 โดยเฉพาะ โดยมีสัญญาณลูกศรแบบ Non Repaint ลูกศรจะเกิดขึ้นเฉพาะจุดที่มีนัยยะสำคัญเท่านั้น ทำให้หาจุดเข้าออเดอร์ได้ง่าย รวมถึงยังมีสัญญาณอื่นๆที่มีความจำเป็นต่องานเทรดอีกหลายตัว เช่น Auto Fibonacci ,Auto Trendline ,Auto Candle Trends Detection ฯลฯ

ระบบเทรด MT5 Gold Hunter จะช่วยให้งานเทรดกลายเป็นเรื่องง่ายๆ ทั้งส่วนของสัญญาณเข้าออเดอร์ และ ส่วนของการจัดการความเสี่ยงที่ออกแบบมาเพื่อลดเลิกการล้างพอร์ตได้อย่างเด็ดขาด รองรับการเทรดได้ทั้งพอร์ตส่วนตัว และ พอร์ต รองรับทุกสินค้าที่โบรกมีให้เทรด ทั้งคู่เงินทุกคู่ ทองคำ คริปโตฯ หุ้นฯ

รายละเอียดการสั่งซื้อ https://topindy.com

 

เทรดอย่างไรให้ได้กำไร

คู่มือนี้พยายามเขียนให้ครอบคลุมกับเทคนิคการเทรดทุกประเภท หรือ ทุกระบบเทรด เพื่อให้มือใหม่ได้ใช้เป็นกรอบในการเทรดทำกำไรเบื้องต้น และ ช่วยในการลดละเลิกการขาดทุนจนล้างพอร์ต แต่อาจจะไม่ได้กล่าวถึงรายละเอียดในเชิงลึก เพราะเนื้อหาจะยาวมากเกินไป ท่านสามารถเข้าไปศึกษารายละเอียดในคอร์สที่แถมให้ได้โดยตรง

ปัจจัยแรกสุดที่สำคัญสูงสุดและทำได้ง่ายที่สุด (แต่มักไม่ทำกัน แล้วก็ต้องล้างพอร์ตซ้ำซาก) ก็คือการควบคุมความเสี่ยง ระบบเทรด MT5 Gold Hunter ได้เน้นออกแบบกลไกการจัดการความเสี่ยงให้ใช้งานง่าย ไม่ต้องคิดมาก สามารถกำหนดค่าความเสี่ยงเป็นตัวเลขเปอร์เซนต์ หรือ กำหนดเป็นตัวเลขจำนวนเงิน เลือกได้ตามความต้องการ แค่เรากำหนดความเสี่ยงในการเทรดไว้ที่ไม่เกิน 5% ของเงินทุนที่มี หรือ จะพูดง่ายๆคือ จะยอมขาดทุนต่อวันไม่เกิน 5% ของเงินทุน แค่นี้ก็ห่างไกลการล้างพอร์ตได้แล้ว และ ยังช่วยคำนวณหาอัตราการขาดทุนสะสมเพื่อไม่ให้เกิดการขาดทุนเกินกำหนด ซึ่งเหมาะสมอย่างมากกับการสอบหรือเทรด

ในภาพล่างจะเห็นได้ว่าระบบเทรดสามารถกำหนดค่าความเสี่ยงได้ทั้งแบบ เปอร์เซนต์ หรือ จำนวนเงิน หรือ จำนวนจุด สามารถบอกเปอร์เซนต์หรือจำนวนเงินการขาดทุนต่อวันได้ และ ยังมีปุ่ม RR เอาไว้จำลองและคำนวณระยะขาดทุน และ กำไร ให้โดยอัตโนมัติ

การคลิ๊กเปิดออเดอร์ที่ปุ่มต่างๆ ระบบจะคำนวณระยะ SL/TP และตั้งค่าให้โดยอัตโนมัติทันที ทำให้หมดห่วงในกรณีใช้เทรดในช่วงเวลาที่ตลาดเกิดแรงกระชากจนผิดเงื่อนไขเทรดโดยไม่ตั้ง Stop loss

กำหนดความเสี่ยง

ภาพล่างนี้เป็นการกำหนดจำนวนเงินฝากครั้งแรก หรือ จำนวนเงินของพอร์ตที่สมัคร เพื่อใช้ในการช่วยคำนวณค่าการขาดทุนสะสมไม่ให้เกินกำหนดของ เช่น 10% หรือ 12% เป็นต้น

กำหนดเงินทุนในพอร์ต

 

เทรดสั้น หรือ ยาวดีกว่ากัน

นี่ก็เป็นอีกหนึ่งคำถามที่สอบถามกันมาก ผู้ถามส่วนใหญ่จะไม่เข้าใจเรื่องของ Lot ที่จะใช้เปิดออเดอร์ หากใช้เครื่องมือช่วยงาน Money Management ของระบบเทรด MT5 Gold Hunter จะช่วยในการหาค่า Lot ได้เป็นอย่างดี สำหรับคู่มือการใช้งานระบบเทรด MT5 Gold Hunter นี้จะไม่ขออนุญาตลงลึกในรายละเอียด แต่สามารถศึกษาเชิงลึกได้จากบทเรียนคอร์สของเว็บนี้ได้โดยตรง

ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่นมีทุน $100 ต้องการเทรดทองคำ เราจะใช้ความเสี่ยงไม่เกิน 5% ต่อวันในการเทรด ไม่ว่าจะเทรดกี่ออเดอร์ในวันนั้นๆก็ตาม แต่ต้องขาดทุนรวมทุกออเดอร์ได้ไม่เกิน 5% นั้นแสดงว่าเงินทุก $100 เราสามารถเทรดขาดทุนทุกวันได้ถึง 20 ครั้ง หรือ 20 วัน (100/5=20) จึงจะล้างพอร์ต

เราไม่จำเป็นต้องใช้ความเสี่ยง 5% ในการเข้าเทรดของแต่ละวัน บางวันเราอาจใช้ความเสี่ยงแค่ 3% บางวันอาจ 2% บางวันอาจ 4% จำนวยครั้งที่จะสามารถเข้าเทรดจนกว่าจะล้างพอร์ตก็จะเพิ่มขึ้นมากกว่า 20 วัน

สมมุติเราใช้ความเสี่ยง 5% ของทุน $100 นั้นก็คือยอมขาดทุนที่ $5 หากเราจะเทรดเพียงออเดอร์เดียวจะใช้ Lot เท่าไหร่ดี ก็ลองคิดแบบง่ายๆ หากใช้ 0.01 Lot ก็จะได้ดังนี้

ตัวอย่างที่ 1

5/0.01=500 จุด  นั้นก็คือได้ระยะ Stop loss ที่ 500 จุด

ตัวอย่างที่ 2

5/0.02=500 จุด  นั้นก็คือได้ระยะ Stop loss ที่ 250 จุด

ตัวอย่างที่ 3

5/0.1=500 จุด  นั้นก็คือได้ระยะ Stop loss ที่ 50 จุด สำหรับ 0.1 Lot อาจจะเปิดไม่ได้หากบัญชีมีค่าสเปรดที่กว้าง เพราะ 50 จุดน้อยเกินไป

ในการเทรดจริงตัวอย่างที่ 1 และ 2 มีความเป็นไปได้ในการเทรดจริง ส่วนจะใช้ค่าตามตัวอย่างที่ 1 หรือ 2 ดีกว่ากันนั้น ต้องขึ้นอยู่กับจุดที่เราจะเข้าออเดอร์ เพราะหากเราได้จุดเข้าออเดอร์ที่มีระยะ Stop loss ที่กว้างมากก็ต้องเลือกใช้ตามตัวอย่างที่ 1 คือ 500 จุด

ปล. การคำนวณแบบง่ายๆนี้ผลลัพธ์อาจจะไม่ได้ถูกต้อง 100% แต่ก็ไม่ได้ผิดเพี้ยนไปมากนัก สามารถนำมาใชในการเทรดได้ เพราะการคำนวณจะให้ถูกต้องจริงๆจะต้องใช้ค่าของ Contract size และ Pip value ร่วมในการคำนวณด้วยซึ่งยุ่งยากมากขึ้น

 

ตั้งระยะ Stop Loss เท่าไหร่ดี

Stop Loss คือต้นทุนของออเดอร์ หากเราได้ระยะ Stop Loss ที่แคบ แต่ปลอดภัย เปิดออเดอร์ปุ๊บราคาวิ่งหนีจากจุด Stop Loss ไปเรื่อยๆ แบบนี้เรียกว่าเราได้ออเดอร์ต้นทุนต่ำ โดยปกติทั่วๆไป การตั้งจุด Stop Loss จะมี 3 วิธีหลักๆคือ

1. ตั้ง Stop Loss ตามเปอร์เซนต์ความเสี่ยงที่กำหนด วิธีนี้มีข้อดีคือเราสามารถควบคุมค่า Drawdown (DD) ได้ตามต้องการ เช่นกำหนดการขาดทุนต่อวันไว่ไม่ให้เกิน 5% เป็นต้น แต่ก็มีข้อเสียคือหากเราได้จุดเข้าออเดอร์ที่ไม่ดี ระยะ Stop Loss ที่กำหนดตามความเสี่ยงก็จะมีโอกาสโดนชนได้ง่าย

2. ตั้ง Stop Loss ตามจุด Swing Low หรือ Swing High ที่อยู่ใกล้สุด วิธีคือข้อดีคือลดโอกาสที่ราคาจะชน Stop Loss ลงไปได้ แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับจุดเข้าออเดอร์ หากจุดเข้าออเดอร์เป็นจุดกลับตัวของราคาจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นจุดกลับตัวย่อยหรือที่เรียกว่าการ Retest หรือ Pullback หรือ จุดกลับตัวของเทรนด์หลัก ก็ถือว่าเป็นการตั้งจุด Stop Loss ที่มีประสิทธิภาพที่ดี ข้อเสียคือหากระยะ Stop Loss กว้างเกินไปก็อาจจะทำให้เราควบคุม Drawdown (DD) ยาก

3. ตั้ง Stop Loss ตามค่าความผันผวนของ ATR (Average True Range) วิธีการนี้มีข้อดีคือเราจะได้จุดวาง Stop Loss ที่ปลอดภัยสูงกว่าแบบอื่นๆ เพราะเป็นการคำนวณหาค่าความผันผวนย้อนหลังตามระยะเวลาที่กำหนดเช่น 20 หรือ 50 แท่งย้อนหลังว่าค่าการกระชากของราคามีมากน้อยแค่ไหน แต่ข้อเสียคือเราไม่สามารถควบคุม Drawdown (DD) ได้เลย

ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้การตั้ง Stop Loss แบบไหนก็ตาม หากต้องการให้การตั้ง Stop Loss มีประสิทธิภาพสูง เราควรเน้นจุดเข้าออเดอร์ที่ดีที่สุด เช่นการหาจุดเข้าออเดอร์ในช่วงการย่อตัวสวนเทรนด์ของราคาเพื่อไปต่อตามเทรนด์หลัก หรือ จุดกลับตัวของเทรนด์หลักโดยอ้างอิงจากเรื่องของโครงสร้างราคา หรือ โซนราคา เพื่อให้ได้ออเดอร์ต้นทุนต่ำที่สุด หากเราได้จุดเข้าออเดอร์แบบนี้ ไม่ว่าจะใช้วิธีการตั้ง Stop Loss แบบไหนก็จะมีประสิทธิภาพสูงทั้งนั้น

ตามภาพเป็นพอร์ต $50 จึงต้องกำหนดความเสี่ยงที่ต่ำไว้ก่อน ใช้เวลาประมาณ 9 วัน ค่อยๆสะสมกำไร พอร์ตโตขึ้นมา 55% แล้ว ยังไม่รวมออเดอร์ที่ยังไม่ปิดแต่กันทุนไว้แล้ว เทคนิคหลักคือไม่ต้องเข้าเทรดบ่อยๆ รอเห็นโอกาสเหมาะๆถึงเข้าเทรดเพื่อควบคุมความเสี่ยง และ เพื่อให้ได้ออเดอร์ต้นทุนต่ำสุด

จุดเข้าออเดอร์ต้นทุนต่ำ

 

ผลการเทรดด้วย Gold Hunter

 

ระยะ Take Profit ล่ะจะตั้งที่เท่าไหร่ดี

หลักการตั้งค่าจุด Take Profit ที่นิยมใช้กันจะมี 2 แบบคือ

1. ตั้งตามแนวรับ แนวต้านที่มีนัยยะสำคัญ อาจจะตั้งใกล้เข้ามาอีกนิดหน่อยกันเหนียวเผื่อราคาวิ่งไปไม่ถึงแนวรับ หรือ แนวต้าน ที่มีนัยยะสำคัญที่เรามองไว้

2. ตั้งตามกฎของ Risk and Reward หรือ RR อาจจะตั้งเป็น 1.5 หรือ 2 เท่าของระยะ Stop loss หากเราใช้ระยะ Stop loss ที่ 500 จุด หากใช้ RR ที่ 1.5 เท่าก็จะได้ระยะ Take Profit ที่ 750 จุด แต่หากใช้วิธีการของ RR ก็ควรมองหาแนวรับ แนวต้าน ที่มีนัยยะสำคัญประกอบด้วยว่า RR ที่เราจะใช้มันมีความเป็นไปได้จริงหรือไม่

ตามตัวอย่างที่ยกมาข้างต้นนั้น Stop loss 500 จุด หรือ Take Profit 500-750 จุด นี้อาจจะไม่ได้สั้นจริงๆ การเทรดสั้นส่วนใหญ่จะใช้ระยะทำกำไรที่ ประมาณไม่เกิน 250 จุด โดยเฉลี่ยจะประมาณไม่เกิน 200 จุด ถ้าระยะทำกำไรที่ 200 จุด ระยะ Stop loss ก็ต้องเป็น 100-150 จุด

ถ้าเราใช้ระยะ Stop loss ที่ 150 จุด ใช้ความเสี่ยง $5 เราจะใช้ Lot เท่าไหร่สำหรับทองคำ เราสามารถคำนวณง่ายๆได้ดังนี้

5/150=0.03 Lot

150×0.03=$4.5 คือการขาดทุน

หากใช้ Lot ที่ 0.03 และ ระยะทำกำไรที่ 200 จุด ก็จะคำนวณได้ดังนี้

200×0.03=$6 คือการได้กำไร

จะเห็นได้ว่าเปิดออเดอร์ที่ 0.03 Lot ระยะทำกำไรที่ 200 จุด ได้แค่ $6 แต่ถ้าอยากได้กำไรซัก $15 ที่ 200 จุดละเราก็ต้องเปิดออเดอร์ที่ 0.07 Lot (200×0.07=14) แต่หากมองที่ระยะ Stop loss ที่ 150 จุด เราก็จะขาดทุนที่ $10.5 (150×0.07=10.5) หากเรามีทุน $100 เราจะเทรดขาดทุนได้แค่ 9 ครั้งเท่านั้นเองก็จะล้างพอร์ต การขาดทุนติดต่อกัน 5-10 ครั้งมันมีความเป็นไปได้มากเช่นกัน ถ้าเราไม่ชำนาญ ไม่มีประสบการณ์มากพอ

Take Profit คือความเสี่ยงอีกรูปแบบ ปัญหานี้แก้ยากกว่า Stop loss เพราะ Take Profit มันคือความโลภ การจัดการความโลภที่ดีที่สุดคือการใช้ RR ไม่เกิน 2:1

 

การเทรดที่ดีจะต้องเริ่มจากการวางแผนการเงินก่อนว่าทุนที่มีจะเทรดได้กี่ครั้ง

จะเห็นได้ว่าการเทรดสั้นจำเป็นต้องใช้ทุนสูง เพราะระยะการทำกำไรสั้น จึงจำเป็นต้องเปิดออเดอร์ด้วย Lot ที่ใหญ่ขึ้น แต่หากทุนน้อยใช้ Lot ต่ำๆเช่น 0.01 หากเทรดสั้นก็จะได้กำไรสะสมทีละน้อยๆ ซึ่งคงไม่เป็นที่ถูกใจของเทรดเดอร์ส่วนใหญ่ซักเท่าไหร่ ลุ้นตัวโก่งแทบหัวใจจะวายได้กำไรแค่ $5-$6 การเทรดยาวจึงเหมาะสมกับเงินทุนน้อยๆ เพราะเราจะเน้นใช้ RR ในสัดส่วนที่สูงเข้ามาชดเชย

ทั้งหมดที่กล่าวมาก็เพื่อให้ท่านได้วางแผนได้ถูกต้องว่าเงินทุนที่มีอยู่จะเทรดพลาดได้กี่ครั้ง เราต้องเผื่อจำนวนครั้งไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะยอมรับได้ ยิ่งมากเรายิ่งมีโอกาสที่จะเข้าเทรดทำกำไรได้มากขึ้น หลายๆคนมีทุน $100 เทรดพลาดแค่ 2-3 ครั้งก็ล้างพอร์ตเพราะใช้ความเสี่ยงที่สูงมากเกินไปนั้นเอง

ทุน $100 ยอมขาดทุน 1% ก็คือ $1 ซึ่งสามารถเทรดผิดพลาดโดยคิดเป็นตัวเลขกลมๆได้จำนวนถึง 100 ออเดอร์ นั้นคือสามารถเทรดผิดพลาดได้ถีง 100 ครั้งจึงล้างพอร์ต ความเสี่ยง 1% หรือ $1 นี้ก็คิดเป็นระยะ SL ก็จะคิดจาก $1/0.01 Lot=100 จุด นั้นหมายถึงระยะ 100 จุด จะเท่ากับ $1 การที่จะทำให้ระยะ SL เพียง 100 จุด แต่มีความปลอดภัยไม่โดนชนง่ายๆก็ต้องแลกด้วยการอดทนรอคอยโอกาส โดยเน้นเทรดตามเทรนด์หลักเท่านั้น พอเปิดออเดอร์ปุ๊บราคาก็วิ่งหนีห่างจุด SL ไปเรื่อยๆนี่คือจุดเข้าออเดอร์ที่มีต้นทุนต่ำ ใช้ต้นทุนเพียง 100 จุดเท่านั้น

ปล. การคำนวณแบบง่ายๆนี้ผลลัพธ์อาจจะไม่ได้ถูกต้อง 100% แต่ก็ไม่ได้ผิดเพี้ยนไปมากนัก สามารถนำมาใชในการเทรดได้ เพราะการคำนวณจะให้ถูกต้องจริงๆจะต้องใช้ค่าของ Contract size และ Pip value ร่วมในการคำนวณด้วยซึ่งยุ่งยากมากขึ้น

 

เข้าใจตลาดจะสร้างโอกาสของการทำกำไร

จุดนี้ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญรองลงมาจากการจัดการความเสี่ยง ก็คือการทำความเข้าใจตลาด หลายๆคนคิดว่าตลาดเปิดก็เข้าเทรดได้ทุกเมื่อที่ว่าง แต่ในความเป็นจริง ตลาดไม่ได้เปิดโอกาสของการเข้าทำกำไรได้ตลอดเวลา เพราะตลาดมันมีพฤติกรรมหลายรูปแบบในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งแบ่งได้ดังนี้

1. ตลาดมีแนวโน้ม หรือ มีเทรนด์ ที่ชัดเจน จะเป็นเทรนด์ขาขึ้น หรือ ขาลง ที่มองเห็นได้ชัดเจน มีองศาความลาดชันที่ชัดเจน ไม่ควรมีความลาดชันต่ำกว่า 30 องศา ถือว่ามีสัดส่วนที่น้อยมาก ช่วงที่ตลาดเป็นเทรด์นี้จะเทรดง่าย เพราะราคาวิ่งไปได้แรงและไปได้ไกล ราคามีโอกาสวิ่งหนีจุด Stop loss ไปได้ทันทีหลังจากเปิดเข้าออเดอร์ ตลาดช่วงนี้จึงเทรดง่าย มีความเสี่ยงที่ราคาจะวิ่งชน Stop loss น้อย ตลาดช่วงที่เกิดเทรนด์นี้มีประมาณ 30% ของช่วงเวลาทั้งหมดของตลาด

2. ตลาดเกิดการพักตัว หรือ Sideway ซึ่งสภาวะนี้จะสังเกตุเห็นได้จากเกิดแท่งราคาขนาดเล็กๆวิ่งเรียงกันจากซ้ายไปขวา บางครั้งอาจมีองศาเอียงขึ้น หรือ เอียงลง นิดหน่อย สภาวะแบบนี้เกิดขึ้นจากตลาดมีความลังเลไม่กล้าซื้อขายกันมาก เน้นการรอความชัดเจน เช่น ข่าวแรง หรือ รอการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจ หรือ การแถลงข่าวสำคัญๆ หลายๆท่านอาจชอบเข้าเทรดในช่วงการพักตัวนี้ เพราะหลังจากตลาดออกจากการพักตัว ราคามักจะวิ่งไปได้แรงๆ ในทิศทางใดทิศทางไหนึ่งที่เรียกกันว่า เกิดการ Breakout ตลาดช่วงพักตัวนี้มีประมาณ 10% ของช่วงเวลาทั้งหมดของตลาด

3. ตลาดเกิดการผันผวน สังเกตได้จากการที่ราคาขึ้นลงสลับสวนทางกันแรงๆ มีแรงซื้อเข้ามาแรงๆก็ตามด้วยมีแรงขายเข้ามาแรงๆเช่นกัน ลักษณะไม่มีใครยอมใคร สภาวะแบบนี้มักจะเกิดจากการกระทำของทุนขนาดใหญ่ที่สามารถเปิด Lot ขนาดใหญ่ๆเป็นหมื่นเป็นแสน Lot ในการเทรดได้ ส่งผลให้ราคาวิ่งกระชากไปแรงๆได้แบบสบายๆ ลักษณะของกราฟจะวิ่งเหมือน Sideway คือไม่มีองศาความชันที่ชัดเจน ราคาโดยภาพรวมมักจะวิ่งจากซ้ายไปขวา แต่มีระยะห่างระหว่างราคาต่ำสุดและราคาสูงสุดที่กว้าง (แนวรับ และ แนวต้าน มีระยะห่างที่กว้าง) เทรดเดอร์จำนวนไม่น้อยที่ชอบการเข้าเทรดในช่วงสภาวะแบบนี้เพราะสามารถเข้าเทรดได้ทั้งสองฝั่ง หรือ ที่เรียกว่า Swing Trade ตลาดช่วงที่เกิดการผันผวนนี้มีประมาณ 60% ของช่วงเวลาทั้งหมดของตลาด

จะเห็นได้ว่าในช่วงเวลาที่ตลาดเปิดทำการมันมีทั้งความง่าย และ ความยาก คละกันไป เราไม่จำเป็นต้องเข้าเทรดในทุกช่วงของตลาด ควรเลือกเข้าเทรดในช่วงที่มีความเสี่ยงต่ำ หรือ เลือกเข้าเทรดในช่วงที่เราถนัด และ เหมาะสมกับกลยุทธ์ของเรา

ในการเข้าเทรดควรเลี่ยงการเข้าออเดอร์ในช่วงตลาดเอเชียเปิดสำหรับ ทองคำ หรือ คู่เงินที่มี EUR หรือ GBP หรือ USD เพราะตลาดเอเชียมักจะเป็นช่วงที่เกิดการสะสมกำลัง ทิศทางของราคาในช่วงตลาดเอเชียเปิดทำการ 05.00 น ถึง 13.30 น. อาจจะไม่ได้เป็นไปตามทิศทางของตลาดหลักของสินค้า เราควรรอช่วงเวลา 14.00 น. ขึ้นไปก่อน เพราะเป็นช่วงที่ตลาดลอนดอนเปิดทำการซึ่งเป็นตลาดหลักที่มีผลต่อ คู่เงินที่มี EUR หรือ GBP รวมถึง ทองคำ ราคาช่วงนี้จะวิ่งไปตามกลไกและความต้องการของตลาดจริงๆ และ ช่วง 20.00 น. จนถึง 23.00 น. เป็นช่วงที่ตลาดนิวยอร์กเปิดทำการ และ เปิดคาบเกี่ยวกันกับตลาดลอนดอนที่เปิดทำการจนถึง 23.00 น. ช่วงนี้เป็นช่วงที่ราคาของสกุลเงิน คู่เงินที่มี EUR หรือ GBP หรือ USD และ ทองคำ วิ่งได้แรงมากที่สุด ตลาดในช่วง 20.00 น. – 23.00 น. เป็นช่วงที่เหมาะสมกับการเทรดมากที่สุด แต่ก็ต้องระวังเรื่องของข่าวแรงด้วย เพราะข่าวแรงมักจะประกาศในช่วงเวลาดังกล่าวนี้

Time-Session-Trading

Time-Session-Trading-2

 

จะใช้ไทม์เฟรมอะไรดีที่สุดแม่นยำที่สุด 

เป็นคำถามที่ถามกันมาก ส่วนใหญ่มักจะเป็นมือใหม่ เพราะยังไม่เข้าใจหลักการทำงานของไทม์เฟรม ไทม์เฟรมเป็นสิ่งที่สำคัญต่อการเทรดเป็นอย่างมาก เราจะแบ่งไทม์เฟรมออกเป็น 2 ส่วนได้ดังนี้

1. ไทม์เฟรมวางแผนมองระยะการทำกำไร หรือ การวาง Take Profit เราจะต้องใช้ไทม์เฟรมที่ใหญ่ในการมองระยะการทำกำไร ส่วนจะใช้ไทม์เฟรมไหนนั้นต้องขึ้นอยู่กับว่าเราจะทำกำไรกี่จุด เช่นถ้าจะเทรดสั้นระยะทำกำไรฝั่ง Buy ที่ 200-300 จุด เราไม่จำเป็นต้องไปวางแผนที่ D1 ไปสับสน เพราะหากเป็นทองคำแท่ง D1 โดยเฉลี่ยมันมีการวิ่งสูงสุดต่ำสุดประมาณ 3000 จุด การวิ่งสวิงตัวขึ้นลงมันมากกว่า 300 จุดไปแล้ว แม้ว่าแท่ง D1 จะเป็นสีเขียวก็ตาม แต่เวลามันวิ่งย้อนกลับลงมามันมีโอกาสวิ่งได้มากกว่า 200-300 จุดแบบสบายๆ ยิ่งใช้ Stop loss ที่ 150 จุด โอกาสที่ราคาจะชน Stop loss ก็มีโอกาสสูง เพราะการดู D1 เราจะไม่สามารถมองไม่เห็นการวิ่งได้ชัดเจนแค่ราคาขยับนิดเดียวก็ 200 จุดไปแล้ว

ดังนั้นหากเทรดสั้นๆระยะทำกำไรที่ต่ำกว่า1,000 จุด ใช้แค่ H4 หรือ H1 ก็เพียงพอและเหมาะสมที่สุด จะใช้ทั้ง H4 ร่วมกับ H1 ก็ได้ แต่สำหรับมือใหม่ที่ไม่คุ้นเคยการมองแบบหลายไทม์เฟรมแนะนำให้ใช้แค่ H1 ก็พอจะได้ไม่สับสน ที่ H1 เราจะได้เห็นระยะการย่อตัวสวนเทรนด์หลัก เห็นจุดเริ่มต้นของคลื่นในต้นเทรนด์หลัก และ มองเห็นสถานะของราคาว่าขณะนี้อยู่ตรงส่วนไหนของเทรนด์หลัก เพื่อจะได้วางแผนเข้าเทรด หรือ รอโอกาสที่เหมาะสมที่สุดในการเข้าเทรด ถ้าราคาปัจจุบันอาจจะเป็นปลายเทรนด์แล้วเราก็รอการเกิดเทรนด์รอบใหม่ก่อนจึงค่อยวางแผนเข้าเทรด

2. ไทม์เฟรมหาจุดเข้าออเดอร์ ที่จะได้ระยะการขาดทุน หรือการวาง Stop loss ที่สั้นและปลอดภัย นี่คือกลไกสำคัญของการเข้าออเดอร์ตามวิธีการของมืออาชีพ ที่เรียกว่า ออเดอร์ต้นทุนต่ำ หมายความว่า ระยะ Stop loss สั้นๆ และอยู่ในจุดที่ปลอดภัย เช่นการเข้าออเดอร์ที่ปลายไส้ นั้นหมายถึงโอกาสที่ราคาจะวิ่งย้อนกลับมามากกว่าปลายไส้แล้วชน Stop loss มีโอกาสน้อยมาก  เมื่อระยะการขาดทุนต่ำ มีความปลอดภัยสูง เราก็จะได้เปรียบในสัดส่วนของระยะทำกำไร

ตัวอย่างเช่น ถ้าหากเราได้ระยะ Stop loss ที่ 100 จุด เราสามารถใช้ RR ที่ 2 เท่าของ Stop loss ได้สบายๆเพราะระยะทำกำไรก็จะเป็นเพียง 200 จุด หรือหากใช้ RR 3 เท่าของ Stop loss ระยะทำกำไรก็จะได้ที่ 300 จุด

แต่หากเราได้ระยะ Stop loss ที่ไม่ดีอาจจะได้ระยะ Stop loss ที่ 200 จุด นั้นคือเราเราต้องลงทุนออเดอร์ที่ระยะขาดทุน 200 จุด หากเราใช้ RR ที่ 2 เท่าของ Stop loss ระยะทำกำไรก็จะเป็น 400 จุด บางครั้งราคาอาจจะวิ่งไปไม่ถึง 400 จุดแล้ววิ่งกลับมาชน Stop loss ก่อน แล้วถึงวิ่งกลับทางเดิมที่เข้าออเดอร์ ทำให้เราพลาดที่จะได้กำไรไปอย่างน่าเสียดาย ทั้งๆที่เข้าออเดอร์ถูกทางแล้ว แต่จุดเข้าออเดอร์มันมีความเสี่ยงสูงนั้นเอง

เราจะใช้ไทม์เฟรมใหญ่เป็นตัววางแผนการเข้าเทรด ยิ่งเราเห็นราคาพึ่งเปลี่ยนจากเทรนด์ขาลงไปเป็นขาขึ้นใหม่ๆ และยิ่งราคาปัจจุบันได้ทำลายโครงสร้างของเทรนด์ขาลงไปได้สดๆใหม่ๆ มันมีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นต้นเทรนด์ขาขึ้นระยะการไต่ขึ้นยังไปได้อีกไกล เราสามารถที่จะรอราคาย่อตัวสวนเทรนด์หลักในไทม์เฟรมใหญ่เช่น ราคาย่อตัวลงมาใน H1 และเริ่มกลับตัวเป็นขาขึ้นอีกครั้ง เราก็เตรียมหาจุดเข้าออเดอร์ที่ไทม์เฟรมที่เล็กๆได้ (ยิ่งหากเรามีความรู้เรื่อง Correction wave เราจะหาจุดสิ้นสุดการย่อตัวได้ชัดเจนขึ้นในไทม์เฟรมเล็ก ทำให้เรามีโอกาสที่จะได้ระยะ Stop loss ที่แคบและปลอดภัย)

ถ้ายังไม่ชัดเจนในเรื่องของการใช้งานไทม์เฟรม แล้วฝืนเทรด นั้นคือสัญญาณอันตรายต่อพอร์ตการลงทุน

 

สรุปขั้นตอนการเทรดทำกำไรแบบชัวร์ๆเน้นการเติบโตของพอร์ต

ตามที่ได้กล่าวมาท้ังหมดคือหัวใจสำคัญของการเทรดทำกำไร จะต้องนำมาปฎิบัติทั้งหมด ห้ามข้ามขั้นตอนโดนเด็ดขาด ขออนุญาตตั้งชื่อว่า กฎ 6 ข้อ สำหรับคู่มือนี้ก็แล้วกัน ซึ่งสรุปเป็นหัวข้อได้ดังนี้

1. ขาดทุนต่อวันไม่เกิน 5% ของเงินทุน

2. วางแผนการเงินก่อนว่าทุนที่มีจะเทรดได้กี่ครั้ง

3. เทรดสั้น หรือ ยาวดีกว่ากัน

4. เทคนิคการตั้งจุด Stop Loss ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

5. ระยะ Take Profit ที่เท่าไหร่ดี

6. เข้าใจตลาดจะสร้างโอกาสของการทำกำไร

7. จะใช้ไทม์เฟรมอะไรดีที่สุดแม่นยำที่สุด 

หากยังไม่ชัดเจน ไม่เข้าใจความสำคัญของข้อไหน แนะนำให้ย้อนกลับไปศึกษาข้างต้นให้เข้าใจก่อน เพราะมันสำคัญมากทุกๆขั้นตอนคือสารตั้งต้นของความสำเร็จในอาชีพการเทรด

 

เครื่องมือทั้งหมดของระบบเทรด MT5 Gold Hunter

Auto Support & Resistance เป็นระบบสร้างเส้นแนวรับ-แนวต้าน ให้โดยอัตโนมัติ โดยจะใช้วิธีคำนวณหาจุดที่มีนัยยะสำคัญจริงๆ ไม่ได้อ้างอิงเฉพาะจุดราคาต่ำสุด หรือ สูงสุด ตามวิธีการที่เครื่องมืออื่นๆใช้

DXY Strength คือเครื่องมือแสดงค่าความอ่อนแข็งของสกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ (USD) เหมาะสำหรับการเทรดทองคำ คริปโตฯ หรือสกุลเงินที่ผูกกับ USD

Auto Daily Range Trading คือเครื่องมือสร้างกรอบการเทรดของวัยให้โดยอัตโนมัติ เหมาะสำหรับการเทรดแบบ Day Trade ที่เน้นถือออเดอร์ไม่ข้ามวัน

High Volume Zone คือเครื่องมือใช้สแกนหาระดับราคาที่จะมีนัยยะสำคัญในอนาคต โดยมีการสะสมกำลังจำนวนมากซ่อนอยู่ในบริเวณนั้น เมื่อราคาวิ่งไปยังบริเวฯนั้น ราคามีโอกาสที่จะพุ่งออกจากบริเวณนั้นไปได้แรงและไกล

Momentum Strength คือเครื่องมือใช้วัดความแรงเร่งหรือแข็งแรงของราคาระยะสั้นในเวลาขณะนั้น เหมาะสำหรับการเทรดแบบ Trend Following ในจังหวะที่ราคาย่อตัวสวนเทรนด์

Direction Price คือเครื่องมือบอกถึงเทรนด์ระยะสั้นของตลาดในขณะนั้น เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจเข้าออเดอร์

ADR (Average Daily Range) เป็นการวัดการเคลื่อนที่ของราคาของวัน เพื่อการตัดสินใจว่าวันนี้ควรเข้าเทรดหรือไม่

%Buy และ %Sell (Volume Meter) เป็นการแสดงค่าเฉลี่ยของปริมาณการซื้อขายจากทุกไทม์เฟรม ไม่ได้วัดที่ไทม์เฟรมใดไทม์เฟรมหนึ่ง

Focus คือเครื่องมือแจ้งถึงความเป็นไปได้ของการเข้าเทรดว่ควรเน้นที่ Buy หรือ Sell

ตัวเลขที่มุมขวาล่าง คือตัวเลขแสดงเวลาที่เหลือของแท่งเทียนในไทม์เฟรมนั้นๆ และ แสดงเวลาของ Server ที่เราเชื่อมต่ออยู่

 

MT5-Gold-Hunter-Signal-Panel

 

ปุ่มหมายเลข 1 คือเครื่องมือสร้างเส้นค่าเฉลี่ยโดยค่ามาตรฐานใช้ SMA20 เป็นค่าที่ได้รับความนิยมในการใช้สังเกตุการเปลี่ยนแนวโน้มหรือเทรนด์ระยะสั้น หากนึกไม่ออกให้ดูการใช้งานเส้นกึ่งกลางของสัญญาณ Bollinger Band เมื่อราคาข้ามเส้นกึ่งกลางขึ้นไปราคาก็มีโอกาสเป็นขาขึ้นไปต่อในระยะสั้น หรือ หากราคาวิ่งตัดเส้นกึ่งกลางลงไปได้ราคาก็มีโอกาสลงไปต่อได้อีกในระยะสั้น

ปุ่มหมายเลข 2 เป็นเครื่องมือช่วยตีเส้นฟิโบนัชชี (Fibonacci) ให้โดยอัตโนมัติ โดยเน้นให้นัยยะที่ลูกคลื่นปัจจุบันเป็นหลัก เพื่อหาจุดกลับตัวของราคา เช่น 50% หรือ 61.8% หรือ 78.6%

ปุ่มหมายเลข 3 เป็นเครื่องมือช่วยตรวจสอบสถานะของเทรนด์ในขณะนั้น (Heiken Ashi) โดยการแยกสีของแท่งเทียนให้แสดงแค่ 2 สีเท่านั้น เพื่อลดความสับสนเรื่องของสีแท่งเทียน

ปุ่มหมายเลข 4 เป็นเครื่องมือช่วยสแกนหา Demand zone และ Supply zone ให้โดยอัตโนมัติ

ปุ่มหมายเลข 5 เป็นเครื่องมือช่วยหาเทรนด์หลัก โดยการแยกสีของแท่งเทียนให้มองเห็นได้ชัดเจน หลักการคล้ายๆเครื่องมือ Heiken Ashi แต่เน้นการแสดงเทรนด์หลักเท่านั้น

ปุ่มหมายเลข 6 เครื่องมือยอดนิยมที่ชื่อว่า Super Trends ทำหน้าที่แสดงเทรนด์ย่อยของตลาด และ ยังทำหน้าที่เป็นแนวรับ-แนวต้าน ได้ในตัว

ปุ่มหมายเลข 7 เครื่องมือช่วยตีเส้นเทรนด์ไลน์ให้โดยอัตโนมัติ

ปุ่มหมายเลข 8 คือเครื่องมือหลักของระบบเทรด MT5 Gold Hunter ช่วยในการสร้างเส้นกรอบราคาคล้ายๆ Bollinger Band และ สร้างสัญญาณลูกศร แบบ Non Repaint 

ปุ่มหมายเลข 9 ในเวอร์ชั่นล่าสุดได้เพิ่มปุ่มหมายเลข 9 ขึ้นมา ทำหน้าเป็นล้างเส้นต่างๆที่เราวาดขึ้นมาเพื่อให้หน้าจอกลับสูงกราฟปกติ

ความหมายของปุ่มต่าง1-9

 

MT5-GoldHunter-V2.7

 

เทคนิคการเข้าออเดอร์ง่ายๆด้วย MT5 Gold Hunter

ระบบเทรด MT5 Gold Hunter ถูกออกแบบมาให้แสดงผลของจุดเข้าออเดอร์เป็นแบบ Non Repaint ซึ่งช่วยให้คาดการณ์ทิศทางได้แม่นยำ โดยการใช้เครื่องมือเพียงแค่ 2 ตัวก็สามารถเทรดทำกำไรได้แล้ว (แต่ถ้าจะให้ดี ควรศึกษาโครงสร้างราคาตามทฤษฎีดาวน์ ก็จะช่วยให้ไม่พลาดช่วงปลายเทรนด์)

*** เน้นเทรดตามเทรนด์ของ H1 เท่านั้น เลี่ยงการเทรดสวนเทรนด์ และ หากไม่เข้าใจความหมายของ กฎ 6 ข้อ แสดงว่าท่านไม่ได้ศึกษารายละเอียดมาก่อน ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อขั้นตอนที่จะกล่าวต่อไป แนะนำให้ย้อนกลับไปศึกษาเรื่อง กฎ 6 ข้อ ให้เข้าใจก่อน ***

 

เคล็ดลับการเทรดทำกำไร

การรอคอยคือองค์ประกอบหนึ่งของเทคนิคที่มืออาชีพใช้

ไม่มีสัญญาณใดที่จะแม่นยำตลอดเวลา ไม่มีใครเทรดชนะทุกๆครั้ง การเทรดมีโอกาสผิดพลาดได้เสมอ การควบคุมความเสี่ยง และ การรอคอยโอกาสที่ดี จะทำให้ความเสี่ยงในการเทรดลดลง และ เพิ่มโอกาสของการทำกำไรมากขึ้น การเข้าออเดอร์ที่ดีคือการรอการยืนยันทิศทางที่ชัดเจนเท่านั้น ในการเทรดแนะนำให้มองสัญญาณลูกศรเป็นเพียงตัวยืนยันทิศทางเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นตัวเข้าออเดอร์

ตัวอย่างเช่น เมื่อเกิดลูกศรสีฟ้าที่กรอบราคาล่าง ให้รอจนกว่าแท่งราคาวิ่งไปย้อนกลับลงมาหาเส้นกรอบราคาด้านล่าง แล้วจึงหาจังหวะเข้าออเดอร์ Buy ในกรณีลูกศรชี้ลงเกิดขึ้นที่เส้นกรอบราคาด้านบน ให้รอจนกว่าแท่งราคาวิ่งย้อนกลับขึ้นไปหาเส้นกรอบราคาด้านบน แล้วจึงหาจังหวะในการเข้าออเดอร์ Sell หรือ อาจใช้การดูสีเส้นของสัญญาณ Super Stochastic ที่ล่างสุดควบคู่กันก็ได้

การเกิดลูกศรเป็นกลุ่มจำนวนมากในบริเวณใดๆนั้นแสดงของความแข็งแรงของราคา อาจจะเป็นการกลับตัวของราคา หรือ เป็นการไปต่อของราคา ที่ราคามีโอกาสดีดตัวออกจากกลุ่มลูกศรออกไปได้แรงๆและไกล

ลดละเลิกการมุ่งแต่จะพึ่งระบบอัตโนมัติ หายใจเข้าอัตโนมัติ หายใจออกอัตโนมัติ หากคิดเช่นนี้เราจะไม่เกิดขบวนการเรียนรู้ และ เกิดการพัฒนาต่อยอดองค์ความรู้เลย เราจะกลายเป็นคนขี้เกียจไปเรื่อยๆ ไม่ต่างจากคนที่ติดเครื่องคิดเลขเพียงอย่างเดียว ไม่รู้จักวิธีใช้สูตรคำนวณ เช่นจะคิดหาค่าเฉลี่ยซึ่งมีสูตรที่ง่ายมากๆ หากไม่รู้จักสูตรเครื่องคิดเลขก็ไร้ประโยชน์ โดยเฉพาะงานเทรดมันจะมีสูตรสำเร็จดังนั้น

กำไร=ความรู้+ทักษะ

ขาดทุน=ความโลภ+ความมักง่าย

อยากได้กำไรก็ต้องเอาความรู้ไปแลก อยากขาดทุนก็เอาความสะดวกสบายไปแลก แค่ลูกศรชี้ปรากฎแล้วคิดต่อได้ว่าจะทำอะไรต่อไปเราจะได้เรียนรู้จังหวะของกราฟที่จะได้จุดเข้าออเดอร์ที่ดี อย่าให้ถึงขั้น ลูกศรชี้ปรากฎแล้วต้องมีข้อความกำกับว่า Buy หรือ Sell หรือ Exit มันจะทำให้เราเป็นคนมักง่าย ไม่คิดอะไรต่อ ไม่เกิดการพัฒนาใดๆเลย

 

ต้องสร้างหน้าเทรดง่ายๆรอไว้ก่อน

หน้าเทรด (Trade Setup) มีความสำคัญอย่างยิ่งต่องานเทรด มืออาชีพทุกๆคนจะใช้หน้าเทรดในการเทรดทำกำไร และ มือสมัครเล่นมากกว่า 80% จะไม่ใช้หน้าเทรดในการเข้าเทรดเลย มักจะเข้าออเดอร์สดๆ ตามที่สายตามองกราฟ หรือ มองสัญญาณในขณะนั้น ไม่มีการเตรียมแผนการเทรด ไม่มีการใช้เงื่อนไขมากกว่า 3 เงื่อนไข ผลการเทรดจึงลุ่มๆดอนๆ ได้ๆเสียๆ ส่วนมากจะเสียมากกว่าได้ ได้กำไรมากมากก็เสียคืนกลับไปหมด

หน้าเทรดจะช่วยให้เราได้จุดเข้าออเดอร์ที่สวยงาม จุด Stop loss แคบและปลอดภัย ที่สำคัญหน้าเทรดจะช่วยสร้างความมั่นใจในการเข้าออเดอร์แต่ละครั้ง เมื่อเรามีความมั่นใจสูในการเข้าออเดอร์แล้ว คราวนี้เราจะไปใช้เทคนิคจะง่าย จะยาก เราก็สามารถทำกำไรได้สบายๆ

การมีหน้าเทรดจะช่วยให้ผลการเทรดดีขึ้นชัดเจนเมื่อเทียบกับการไม่มีหน้าเทรด หน้าเทรดที่ดีมีคุณภ่พต้องเรียบง่ายที่สุด เพราะเราจะเอามาใช้เป็นตัวหลักในการเทรด หรือ ใช้ร่วมกับระบบเทรดต่างๆ เพื่อเพิ่มความแม่นยำ โดยยึดหน้าเทรดเป็นหัวหลัก ท่านสามารถศึกษาวิธีการสร้างหน้าเทรดคุณภาพได้จากลิ้งค์นี้ https://sniper3.com/trade-setup-hq

 

เคล็ดลับการใช้สัญญาณลูกศร

เทรดเดอร์จำนวนมากต้องการเทรดแบบง่ายๆคือสัญญาณลูกศรแสดงปุ๊บก็เข้าออเดอร์ตามสัญญาณลูกศรเลยทันที การทำแบบนี้เปอร์เซนต์ที่จะอยู่รอดในตลาดได้นั้นมีน้อยมาก หากยังคิดแบบนี้ให้ย้อนกลับไปอ่านเรื่อง 30% และ 70% ให้เข้าใจเรื่องของกลไกตลาดก่อน เพราะมันสำคัญมากๆ เราอาจได้คู่ชีวิตที่ดีเราก็ต้องเข้าใจคนๆนั้นให้มากที่สุด เราอาจทำกำไรจากตลาดได้เราก็ต้องเข้าใจตลาด มันเป็นสัจธรรมที่เที่ยงแท้อยู่แล้ว

สัญญาณลูกศรของระบบเทรด MT5 Gold Hunter จะแสดงออกมาได้ก็ต่อเมื่อราคาปัจจุบันวิ่งออกนอกกรอบบน หรือ กรอบล่าง เท่านั้นซึ่งเป็นข้อดีของสัญญาณลูกศรนี้ เพราะมันจะเกิดขึ้นในโซนที่มีนัยยะที่เหมาะสมในการเข้าเทรดมากที่สุด มันไม่ได้เกิดขึ้นมั่วๆ

การใช้สัญญาณลูกศรเข้าเทรดของระบบเทรด MT5 Gold Hunter จึงค่อนข้างมีความแม่นยำโดยเฉพาะการเลือกดูเฉพาะสัญญาณลูกศรที่เกิดตามเทรนด์หลักขณะนั้น แต่เราจะไม่เข้าออเดอร์เมื่อลูกศรเกิดขึ้น แต่เราจะใช้สัญญาณลูกศรช่วยยืนยันทิศทางของงเทรนด์ปัจจุบันเท่านั้น หลังจากเกิดสัญญาณลูกศรแล้วเราอาจจะรอให้แท่งราคาย้อนกลับเข้าไปปิดตัวได้ในกรอบก่อนแล้วจึงเข้าออเดอร์ตามทิศทางของลูกศรก็ได้เช่นกัน สัญญาณลูกศรจะเปรียบเหมือนเข็มทิศช่วยยืนยันทิศทางได้เป็นอย่างดี

ลูกศรชี้เป็นเพียงการช่วนตอกย้ำยืนยันเทรดน์ปัจจุบันเท่านั้น ไม่ใช่ตัวใช้เข้าออเดอร์ทันที มือใหม่หลายๆคนยังใช้วิธีดำน้ำ ใช้งานตามที่ตนเองคิด มืออาชีพเข้าจะคิดจะทำแบบไหนอย่างไรฉันไม่สนใจ ฉันจะทำแบบตามที่ฉันคิดนี้แหละ ความคิดแบบแบบนี้ยังไม่เคยเห็นอยู่รอดในตลาดได้ซักราย และ แนวคิดแบบนี้ส่วนใหญ่สุดท้ายก็เข็ดขยาดหันหลังให้วงการเทรดไปเลย และ กล้าท้าได้เลยว่าไม่มีเทรดเดอร์มืออาชีพคนไหนในโลกนี้ที่นั่งเทรดตามสัญญาณลูกศรอย่างแน่นอน

กำไร=ความรู้+ทักษะ

ขาดทุน=ความโลภ+ความมักง่าย

ความสำเร็จต้องมาจากการเสาะแสวง ค้นคว้า เพื่อหาคำตอบที่จะทำให้เกิดความสำเร็จ หากเราไม่ชอบอ่าน ไม่ชอบค้นคว้าหาความรู้  โอกาสที่จะประสบความสำเร็จไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย มันไม่ต่างจากเอาระบบเทรดมาแล้วจุดเทียนนั่งทางในหา Buy หา Sell และเขื่อได้ว่าท่านใดได้อ่านมาถึงตรงนี้ ขอแสดงความยินดีด้วยในการเข้าสู่ความเป็นมืออาชีพของท่าน เพราะท่านรักการศึกษาค้นคว้ามีโอกาสประสบความสำเร็จที่สูงมาก ฟันธง

 

วางแผนการเทรดโดยดูเทรนด์ที่ไทม์เฟรม H1

หากสังเกตุดีๆจะเห็นว่าลูกศรชี้ไม่ได้เกิดแบบสะเปะสะปะ มันจะเกิดขึ้นเฉพาะในโซนที่มีนัยยะสำคัญๆเท่านั้น และมันจะเกิดทุกตำแหน่งในโซนที่มีนัยยะสำคัญ ช่วยทำให้เรามั่นใจในทิศทางของราคาได้ดีขึ้น แม้ว่าดูเหมือนเราจะเข้าออเดอร์ตามลูกศรได้ก็จริง แต่เพื่อความชัวร์เราควรใช้เครื่องมือโมเมนตัมร่วมยืนยันอีกตัวก็จะลดความผิดพลาดลงไปได้มาก

ตามภาพล่างนี้เราจะเห็น จุดเข้าออเดอร์ และ จุดออกออเดอร์ ชัดเจน ในภาพเป็นการแสดงกราฟราคาที่ H1 เราจะสังเกตุเห็นทิศทางของแนวโม้น หรือ เทรนด์ของตลาดได้ชัดเจนด้วยสายตาว่าตลาดเป็นขาลง เราจะใช้มุมมองที่ H1 เพื่อดูแค่เทรนด์หลักของตลาดก็พอ เพื่อลดขั้นตอนลงไป จะได้ไม่ต้องสับสนและคิดมาก

สังเกตุกราฟทองคำที่ H1 ในช่วงวันที่ 10 ธ.ค ถึง 11 ธ.ค

จุดเข้าและจุดออกออเดอร์

 

เข้าออเดอร์ที่ไทม์เฟรม M5

*** ไม่ควรไปจดๆจ้องๆ ที่ M5 เพราะจะทำให้เกิดความตื่นตระหนกเมื่อเห็นกราฟวิ่งแรงๆ ให้จ้องที่ H1 ก่อนเท่านั้นเพราะมันคือแรงหลักที่จะชี้วัดระยะทำกำไร รอที่ H1 จนกว่าจะใกล้เจอเงื่อนไขที่จะเข้าออเดอร์ได้ ถึงเปลี่ยนไปจ้องที่ M5 หรือ M15 ***

ในการเข้าออเดอร์เราจะใช้ไทม์เฟรมที่เล็กว่า H1 เช่น M5 หรือ M15 โดยใช้เงื่อนไขดังนี้

1. ดูเทรนด์หลักของ H1 ก่อนว่าเป็นเทรนด์อะไร ตามตัวอย่างคือเทรนด์ขาลง การดูเทรนด์หลักสามารถดูด้วยสายตา หรือ อาจจะใช้เครื่องมือที่ปุ่มหมายเลข 5 ช่วยแสดงเทรนด์ก็ได้

2. รอการเกิดลูกศรชี้ ในภาพเทรนด์หลักของ H1 เป็นเทรนด์ขาลง เราก็จะโฟกัสการเทรดฝั่ง Sell เป็นหลัก หากเราเปิดไม่ทันลูกศร ก็ไม่เป็นไร ให้รอราคาวิ่งย้อนกลับไปหาเส้นกรอบราคาก่อนก็ได้ เช่น เทรนด์ขาลงเมื่อเกิดลูกศรสีชมพูชี้ลง เมื่อราคาวิ่งขึ้นไปใกล้ๆเส้นกรอบบน(เส้นประสีฟ้า) เราก็สามารถเปิดออเดอร์ Sell ได้เลย

แนะนำให้ฝึกเข้าออเดอร์ด้วยวิธีการง่ายๆนี้ไปก่อน หากเราควบคุมความเสี่ยงได้ตามหลักการ และ รอราคาเข้าใกล้เส้นกรอบ และ เน้นเทรนด์ตามเทรนด์หลัก เราจะสามารถเทรดทำกำไรได้โดยไม่ยากเลย สิ่งที่เราจะได้รับคือ ได้ฝึกจังหวะการตัดสินใจเข้าออเดอร์ที่มีโอกาสทำกำไรได้มากกว่าขาดทุน เราก็จะเกิดความมั่นใจในการเทรด จากนั้นเมื่อเทรดทำกำไรได้มากกว่าขาดทุนแล้ว ก็ค่อยๆต่อยอดพัฒนาเทคนิคนี้ให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ เช่น การเรื่องของโครงสร้างราคา หรือ การนับคลื่น เป็นเทคนิคต่อๆไป

สังเกตุกราฟทองคำที่ M5 ในช่วงวันที่ 10 ธ.ค ถึง 11 ธ.ค เราจะเห็นลูกศรแสดงจุดเข้าออเดอร์ที่มากขึ้นชัดเจนกว่า H1

เข้าออเดอร์ที่ M5

 

สัญญาณโมเมนตัมช่วยยืนยัน

ในกรณีที่ต้องการใช้สัญญาณโมเมนตัมช่วยยืนยันร่วมกับสัญญาณลูกศร อาจจะใช้การปรับแต่งค่าให้เหมาะสมกับสินค้าที่เทรด เช่นหากใช้งานในไทม์เฟรม M5 อาจได้ปรับลดค่าลงไปจาก 21 ไปเป็น 7 เพื่อให้ได้รอบของโมเมนตัมกระชับมากยิ่งขึ้น

MT5-Gold-Hunterสัญญาณโมเมนตัม

 

เพิ่ม Templates ในเวอร์ชั่น 4.0 ขึ้นไป

ตั้งแต่เวอร์ชั่น 4.0 ขึ้นไปจะมี Templates ให้เลือกใช้แยกออกมาอีกหนึ่งตัวชื่อ MT5-Day-Trade เมื่อเรียกใช้งานหน้าตาก็จะได้แบบภาพล่างนี้ โดยเพิ่มสัญญาณ MACD เข้าไป

MT5-GoldHunter-V4.1

 

ตัวอย่างการวิเคราะห์สัญญาณต่างๆเพื่อใช้ในการเข้าออเดอร์

หากต้องการใช้งานระบบเทรด MT5 Gold Hunter ตามตัวอย่างข้างล่างที่มีสัญญาณ MACD เพิ่มเข้ามา ให้เรียกใช้ Templates ชื่อ MT5-Day-Trade

เรียกใช้ Templates

 

การใช้สัญญาณอินดิเคเตอร์ในการเทรด เชื่อว่าเทรดเดอร์จำนวนมากในตลาดมักจะนิยมใช้สัญญาณอินดิเคเตอร์ในการเทรด และ มีจำนวนมากเช่นกันที่ใช้สัญญาณอินดิเคเตอร์ผิดวิธี บางท่านใช้การวิ่งของสัญญาณอินดิเคเตอร์เพียงหนึ่งถึงสองตัวแล้วเข้าออเดอร์ตามเส้นสัญญาณนั้นๆ เช่นดูการวิ่งของแท่ง MACD ตัด 0 ขึ้น Buy ตัด 0 ลง Sell หากใช้วิธีการแบบนี้มันมีโอกาสที่จะผิดพลาดสูงมาก

การใช้งานสัญญาณอินดิเคเตอร์ให้ถูกวิธีนั้นจะต้องใช้การตีความร่วมกับกราฟราคา และ อาจใช้เหตุผลอื่นๆเช่นความอ่อนแข็งของค่าเงิน หรือ ปัจจัยอื่นๆร่วมในการตีความ

1. โมเมนตัมขาขึ้นแรงชัดเจน ดูได้จากตำแหน่งแท่ง MACD อยู่เหนือ 0 และ ขนาดของ MACD ที่ใหญ่ และ กราฟราคาพุ่งแรง สังเกตุเส้นสีน้ำเงินอยู่เหนือเส้นสีแดง และ มีระยะฉีกตัวห่างจากกัน

2. แท่ง MACD กลับขึ้นมาเหนือ 0 อีกครั้ง กราฟพุ่งขึ้นแรง แต่แท่ง MACD มีขนาดเล็กมาก เป็นการส่งสัญญาณการย่อตัวขึ้นเฮือกสุดท้ายก่อนหมดแรงเพื่อทิ้งตัวลงแรงๆ

3. เราสามารถใช้การตีเส้นเทรนด์ไลน์ ร่วมกับ CCI ได้ เพื่อให้เห็นจุดที่ราคาจะไปทดสอบ ทำให้เห็นทิศทางได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

4. สัญญาณ DXY แสดงถึงการแข็งค่าของสกุลเงิน USD ถ้าค่าเงิน USD แข็งค่ามากๆ ราคาทองคำมักจะลดลง

5. เส้นสีน้ำเงินตัดสีแดงลงเป็นจุดที่ใช้ตัดสินใจ Sell โดยอ้างอิงเหตุผลจากข้อ 1 ถึง 4

6. สัญญาณ CCI เริ่มกลับตัววิ่งขึ้นไปหาเส้นเทรนด์ไลน์ แต่กราฟราคาไม่แสดงการวิ่งขึ้นใดๆเลย แสดงถึงโมเมนตัมขาลงมีความแรง

7. แท่ง MACD ลงมาต่ำกว่า 0 และมีขนาดใหญ่ เป็นตัวยืนยันว่าโมเมนตัมขาลงมีความแรงอยู่

การใช้สัญญาณอินดิเคเตอร์ในการเทรด

 

เทคนิคการวาง Pending Order ด้วย ATR

ATR ย่อมาจาก Average True Range หรือการคำนวณหาค่าเฉลี่ยของความผันผวนตามช่วงเวลาที่กำหนด เช่น 14 หมายถึง 14 แท่งย้อนหลังของไทม์เฟรมที่เปิดกราฟขณะนั้น ตามตัวอย่างก็คือ 434 จุด ที่ M15 ตัวเลข 200% หมายถึง ระยะ 2 เท่าของ ATR ดังนั้น ค่า 100% ของ ATR ก็จะเท่ากับ 217 จุด (434/2=217)

ค่า ATR มักจะนิยมนำมาใช้ในการตั้งจุด Stop loss เป็นหลัก โดยอ้างอิงค่าความผันผวนในอดีตจากค่า Period ที่กำหนด เช่น หาความผันผวนในรอบ 14 แท่งย้อนหลัง หรือ บางคนนำเอามาใช้หาการ Breakout แต่แนะนำให้เอามาใช้ในการวางจุด Stop loss จะเหมาะสมที่สุด

สำหรับการเทรดด้วยฟิโบนัชชี เทรดเดอร์ที่นิยมตั้ง Pending Order แบบ Limit Order ในการเทรด เช่นตั้ง Limit Order ที่ 61.8% แล้ว วางตามระดับไล่เรียงกันไป จากภาพล่างนี้เราได้วางแผนดการเทรดไว้คือจะใช้ความเสี่ยงในการเข้าเทรดครั้งนี้ ไม่เกิน 5% หากเราขาดทุนทั้ง 4 ออเดอร์ก็จะขาดทุนที่ $4.32 ซึ่งถือว่าพอรับได้ ยิ่งช่วงที่มีการกระชากแรงๆได้ค่า ATR ที่สูง ระยะห่างระหว่าง Pending Order ก็จะกว้างกว่านี้

ในการเทรดครั้งนี้เราใช้การหารออกเป็น 4 ออเดอร์ ท่านอาจจะแบ่งเป็นหาร 3 หรือ หาร 2 ก็ได้ หากใช้การแบ่งเป็น 3 ออดอร์ก็จะได้ระยะห่างที่ 145 จุดโดยประมาณ ออดอร์ก็จะห่างกว่าในภาพ เทคนิคนี้เหมาะกับคนที่มีทุนน้อยๆ ใช้การบริหาร MM ช่วย ไม่สนใจ Winrate แต่สนใจกำไรอย่างเดียว

ส่วนระยะทำกำไรนั้น หากใครจะไล่เปิดออเดอร์เพื่มเมื่อเห็นการย่อตัวแรงๆ ก็แล้วแต่ประสบการณ์ อาจจะแบ่งแท่งยาวๆเป็นสัดส่วนฟิโบนัชชี ตั้ง Limit Order ที่ 71.8% ไว้ก็ได้

การหา Key Level ร่วมกับฟิโบนัชชี เทคนิคการตั้ง Pending Order ด้วย ATR -1

 

ใช้หลักการนี้เปิดออเดอร์ที่มือถือไว้ตั้งแต่ตอนเช้า

ผลการทดสอบระบบ Pending Order

 

จะเห็นได้ว่าการใช้งานฟิโบนัชชีในการเทรดให้ได้ผลนั้น มันไม่ได้อยู่ที่จะตีเส้นที่ไส้เทียน หรือ ที่เนื้อเทียน แต่มันอยู่ที่จังหวะของการรอความชัดเจนมากกว่า ให้ท่องจำไว้เสมอว่า อย่าไปคาดการณ์จุดเข้าออดเดอร์ล่วงหน้า คาดการณ์ได้แค่ทิศทางภาพรวมของตลาดเท่านั้น การเข้าออดอร์ต้องรอให้ตลาดเฉลยทิศทางก่อนเท่านั้น ผู้เขียนเชื่อมั่นว่า ท่านใดที่ได้อ่านมาถึงตรงนี้ ท่านเป็นคนหนึ่งที่จะสามารถใช้เครื่องมือฟิโบนัชชีในการเทรดทำกำไรได้อย่างแน่นอน

จะเห็นได้ว่าแค่เครื่องมือเรียบง่ายแต่ทรงประสิทธิภาพสามารถช่วยให้งานเทรดกลายเป็นเรื่องง่ายได้ทันที แต่สิ่งที่จะละเลยไม่ได้เลยก็คือการควบคุมความเสี่ยงจะต้องปฎิบัติอย่างเคร่งครัด ต้องไม่ตามใจตนเอง เทรดตามระบบที่กำหนดไว้ล่วงหน้าเท่านั้น แล้วผลการเทรดของท่านจะดีขึ้นเรื่อยๆ พยายามรักษาขวัญกำลังใจให้มาก อย่าไปหลงกลความโลภเพราะหากขาดทุนหนักๆแล้วจิตจะตกความมั่นใจจะหดหาย กว่าจะเอาความมั่นใจคืนมาได้ต้องใช้เวลานาน

รายละเอียดการสั่งซื้อ https://topindy.com

MT5-GoldHunter-Non-Repaint

https://sniper3.com/5ght

MT5 Gold Hunter

 

Login เพื่ออ่านต่อ...

เนื้อหาทั้งหมดของบทเรียนนี้ ทั้งบทความ ,วีดิโอ ,ไฟล์ PDF เข้าดูได้เฉพาะสมาชิกของ Sniper-III+คอร์ส เท่านั้น โดยการ Login เข้าสู่ระบบเพื่อเข้าห้องเรียนในบทต่างๆ

หากยังไม่เป็นสมาชิก

คลิ๊กที่นี่เพื่อสมัครเข้าคอร์สเรียนพร้อมรับระบบเทรด Sniper-III

Existing Users Log In